Skip to content
2 min read TO

LlamaCon 2025 - บทสนทนาระหว่าง Mark Zuckerberg และ Satya Nadella กับอนาคต AI ที่เปลี่ยนโลก

เจาะลึกประเด็นสำคัญจาก LlamaCon 2025 เมื่อสองผู้นำเทคโนโลยี Mark Zuckerberg และ Satya Nadella แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับวิวัฒนาการ AI โครงสร้างพื้นฐานโอเพนซอร์ส และอนาคตของการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วย AI

Mark Zuckerberg และ Satya Nadella บนเวที LlamaCon 2025

ในงาน LlamaCon 2025 ช่วงปิดงาน มีการพูดคุยที่น่าสนใจอย่างยิ่งระหว่าง Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Meta และ Satya Nadella ประธานและ CEO ของ Microsoft ซึ่งทั้งสองได้แชร์มุมมองและประสบการณ์เกี่ยวกับการเติบโตของ TO การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และวิธีที่ AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานและการพัฒนาซอฟต์แวร์ในองค์กรยุคใหม่ บทความนี้จะพาทุกคนไปเจาะลึกประเด็นสำคัญที่ทั้งสองผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกได้แลกเปลี่ยนในช่วงเวลาสำคัญนี้

Mark Zuckerberg และ Satya Nadella บนเวที LlamaCon 2025

วิวัฒนาการเทคโนโลยีและ AI กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอดีต

Satya Nadella เริ่มต้นด้วยการสะท้อนถึงประวัติศาสตร์เทคโนโลยีตั้งแต่ยุคคลายเอนต์เซิร์ฟเวอร์ (Client-Server) ไปจนถึงเว็บ โมบาย คลาวด์ และตอนนี้คือยุคของ TO ซึ่งเขามองว่าแต่ละยุคเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่ทำให้ต้องสร้างระบบใหม่ทั้งหมดตั้งแต่รากฐาน โดยเฉพาะในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อตอบโจทย์การเทรน AI ที่มีลักษณะงานที่แตกต่างจากระบบเดิม เช่น การเทรนแบบ Data Parallel Synchronous ที่แตกต่างจาก Hadoop

Mark Zuckerberg เสริมว่าการพัฒนา AI ในแต่ละรุ่นนั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและส่งผลให้เกิดการใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพราะราคาลดลงและความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เขายกตัวอย่างการเร่งความเร็วของ Moore’s Law ที่ดูเหมือนจะหยุดชะงักไปแล้ว แต่กลับถูกขับเคลื่อนใหม่ด้วยการพัฒนาในหลายระดับ ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และการออกแบบโมเดลใหม่ ๆ

Satya Nadella อธิบายวิวัฒนาการของเทคโนโลยี AI

บทบาทของโอเพนซอร์สและระบบนิเวศ AI ในยุคใหม่

หนึ่งในประเด็นที่ Satya เน้นย้ำคือความสำคัญของโอเพนซอร์สและการทำงานร่วมกันแบบเปิด ซึ่งเขามองว่าโลกต้องการทั้งโมเดลปิดและโมเดลเปิดเพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างครอบคลุม โดย Microsoft เองก็สนับสนุนทั้งสองด้านผ่าน Azure ที่สามารถให้บริการฐานข้อมูล SQL Server, Postgres, Linux และ Windows ได้อย่างครบถ้วน

Satya ชี้ให้เห็นว่าโอเพนซอร์สมีข้อได้เปรียบอย่างมากในเรื่องของการอนุญาตให้ลูกค้าเทรนและกลั่นกรองโมเดลที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเองได้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในภาคธุรกิจที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและการควบคุมสูง นอกจากนี้การสนับสนุนโอเพนซอร์สยังช่วยสร้างระบบนิเวศที่มีความหลากหลายและยืดหยุ่นมากขึ้น

Satya Nadella กล่าวถึงความสำคัญของโอเพนซอร์สและความยืดหยุ่นของ Azure

โครงสร้างพื้นฐานและเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา AI ในยุคปัจจุบัน

Microsoft ได้ลงทุนอย่างหนักในโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ AI ทั้งในส่วนของคอมพิวเตอร์ สตอเรจ เครือข่าย และ AI Accelerator เพื่อให้บริการที่ครบวงจรสำหรับนักพัฒนา นอกจากนี้ยังมีการสร้างแอปเซิร์ฟเวอร์ Foundry ที่ช่วยจัดการบริการต่าง ๆ เช่น การค้นหา ความปลอดภัย และหน่วยความจำ เพื่อให้นักพัฒนาใช้เครื่องมือและบริการเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น

GitHub Copilot ถูกยกเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดย Microsoft เน้นการผสมผสานระหว่างโค้ดคอมพลีชัน แชท และการทำงานแบบแอเจนต์ (Agentic Workflow) เพื่อให้การเขียนโค้ดเป็นไปอย่างลื่นไหลและมีประสิทธิภาพสูงสุด Satya ชี้ว่าการผนวก AI เข้ากับโฟลว์การทำงานเดิมของนักพัฒนานั้นเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มผลิตภาพ

Satya Nadella อธิบายวิวัฒนาการของ GitHub Copilot

AI ในการพัฒนาซอฟต์แวร์และความเปลี่ยนแปลงของวิธีการทำงาน

Satya เล่าถึงวิวัฒนาการของ AI ในงานพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยเริ่มจากการช่วยเติมโค้ด (Code Completion) ขยายไปสู่การสนทนาแบบแชท และล่าสุดคือระบบแอเจนต์ที่สามารถรับมอบหมายงานและทำงานแทนได้ เขายังกล่าวว่าสัดส่วนโค้ดที่ถูกเขียนโดย AI ภายใน Microsoft อยู่ที่ประมาณ 20-30% และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในส่วนของการรีวิวโค้ดที่ AI มีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ

Mark Zuckerberg เสริมว่า แม้สถิติจะยังเป็นไปในทิศทางของการเติมโค้ดอัตโนมัติเป็นหลัก แต่ทีมงานของ Meta กำลังทดลองใช้ AI ในงานเฉพาะทาง เช่น การจัดอันดับโฆษณา และการพัฒนา AI Engineer เพื่อช่วยเร่งการพัฒนาโมเดล Llama ให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

ข้อมูลสัดส่วนโค้ดที่เขียนโดย AI ภายใน Microsoft

แนวคิดเรื่อง “Distillation Factory” และการผสานหลายโมเดล AI

หนึ่งในหัวข้อที่ทั้งสองพูดถึงอย่างลึกซึ้งคือแนวคิด “Distillation Factory” หรือโรงกลั่นโมเดล ที่หมายถึงการนำโมเดลขนาดใหญ่ไปกลั่นให้เป็นโมเดลขนาดเล็กลงที่ยังคงความสามารถสูง ซึ่งจะช่วยให้โมเดลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ได้ง่ายและประหยัดทรัพยากรมากขึ้น

Satya อธิบายว่าการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถกลั่นโมเดลและสร้างโมเดลเฉพาะงาน (task-specific models) ได้ด้วยตนเอง จะเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้แต่ละองค์กรสามารถปรับแต่ง AI ให้เหมาะกับความต้องการของตนเองได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

Mark Zuckerberg ยกตัวอย่างโมเดล Maverick ที่เป็นโมเดลมัลติโมดัล (รองรับทั้งข้อความและภาพ) ที่มีประสิทธิภาพสูงในขนาดที่เล็กกว่าโมเดลอื่น ๆ และกล่าวว่าโมเดลขนาดใหญ่อย่าง Behemoth นั้นเหมาะสำหรับการนำไปกลั่นเป็นโมเดลขนาดเล็กที่ใช้งานได้จริงในภาคธุรกิจ

แนวคิด Distillation Factory กับการกลั่นโมเดล AI

อนาคตของ AI: โมเดลไฮบริดและการทำงานร่วมกันของหลายโมเดล

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าอนาคตของ AI จะเป็นการผสมผสานระหว่างโมเดลที่หลากหลาย เช่น โมเดล MOE (Mixture of Experts) ที่รวมความสามารถของโมเดลหลายตัวเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ทั้งความรวดเร็วและความแม่นยำในระดับสูง

การสร้างแอปพลิเคชันที่ใช้โมเดลหลายตัวร่วมกัน จะเป็นก้าวสำคัญสู่การใช้งาน AI ที่มีความยืดหยุ่นและตอบโจทย์งานที่ซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของการทำงานแบบออร์เคสตรา (orchestration) ที่ทำให้ AI แต่ละตัวสื่อสารและประสานงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อนาคตของ AI กับโมเดลไฮบริดและการทำงานร่วมกัน

มุมมองต่ออนาคต AI และความท้าทายของการเปลี่ยนแปลง

Satya Nadella เน้นย้ำว่า AI คือปัจจัยการผลิตใหม่ที่จำเป็นสำหรับโลกในยุคปัจจุบัน เพื่อเพิ่มผลิตภาพในทุกภาคส่วนตั้งแต่สุขภาพ การค้าปลีก ไปจนถึงงานความรู้ทั่วไป อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องการเวลาและการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานอย่างลึกซึ้ง

เขายกตัวอย่างประวัติศาสตร์ที่เทคโนโลยีไฟฟ้าต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับ AI ที่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ต้องรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในซอฟต์แวร์และการบริหารจัดการองค์กรด้วย

Satya ยังให้กำลังใจนักพัฒนาและผู้ที่เกี่ยวข้องให้กล้าที่จะนำ AI มาใช้และสร้างสรรค์โซลูชันใหม่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาที่ยังไม่ถูกแก้ไขในโลกนี้

Satya Nadella แบ่งปันมุมมองอนาคตของ AI และการเปลี่ยนแปลง

Conclusion from Insiderly

บทสนทนาระหว่าง Mark Zuckerberg และ Satya Nadella ใน LlamaCon 2025 สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของเทคโนโลยี AI ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของโมเดลหรือฮาร์ดแวร์เท่านั้น แต่เป็นการปฏิวัติทั้งระบบนิเวศ ซอฟต์แวร์ และวิธีการทำงานของมนุษย์

การผสมผสานระหว่างโมเดลเปิดและปิด การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น และการสร้างเครื่องมือที่ช่วยให้นักพัฒนาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อน AI ไปสู่การใช้งานจริงในวงกว้าง

แนวคิด “Distillation Factory” ช่วยให้โมเดลขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนสูง ถูกกลั่นเป็นโมเดลขนาดเล็กที่ใช้งานได้ง่ายและประหยัดทรัพยากร ซึ่งจะเปิดโอกาสให้หลายองค์กรสามารถสร้าง AI เฉพาะงานที่ตอบโจทย์ธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

สุดท้าย ความท้าทายที่แท้จริงคือการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานและการบริหารจัดการองค์กรให้พร้อมรับมือกับเทคโนโลยีใหม่ การมอง AI เป็นปัจจัยการผลิตใหม่ที่ต้องผสานเข้ากับระบบและวัฒนธรรมองค์กร จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของ AI อย่างแท้จริง

สำหรับนักพัฒนาและผู้นำองค์กร นี่คือช่วงเวลาที่ต้องกล้าลงมือสร้างสรรค์และปรับตัว เพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่ AI จะเป็นเครื่องมือทรงพลังในการแก้ไขปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพในทุกมิติของชีวิตและธุรกิจ

Technical terms to know